น่ารู้

คุณรู้ไหมว่า...ปล่อยปลาแต่ละชนิดมีความหมายอย่างไรเวลาที่คุณทำบุญโดยการปล่อยสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์น้ำ ประเภทปลาซึ่งมีอยู่หลายชนิดนั้นซึ่งแต่ละชนิดมีความหมายในการทำบุญแตกต่างกันไป เรามาดูกันว่า ปลาแต่ละชนิดและสัตว์น้ำบางชนิด มีความหมายในการทำบุญด้วยการปล่อยอย่างไร เพื่ออะไรบ้าง บางคนอาจปล่อยสัตว์เหล่านี้ตามจำนวนมากกว่าอายุเรา 1 ปี หรือบางคนอาจยึดหลักตามกำลังวันเกิดของเราเอง

ความหมายของการปล่อยสัตว์
 ปลาไหล หมายถึง การเงิน การงาน การเรียนจะราบรื่น
ปลาหมอ หมายถึง เพื่อสุขภาพ
ปลาบู่ หมายถึง ทดแทนผู้มีพระคุณ
ปลาดุก หมายถึง ศัตรูคู่แข่งแพ้พ่าย
ปลานิล หมายถึง ทรัพย์สินเพิ่มพูน
ปลาช่อน หมายถึง ช้อนเงินทอง สิ่งที่ซ่อนเร้นจะได้พบ
ปลาทับทิม หมายถึง ทำอะไรราบรื่น
ปลาสวาย หมายถึง เงินทองคล่องตัว
ปลาขาว หมายถึง ปลานำโชค
ปลาจารเม็ด หมายถึง จะได้เงินเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ปลาใน หมายถึง ได้เป็นเจ้าคนนายคน
ปลาดุกเผือก หมายถึง ปลามงคล
ปลาดำราหู หมายถึง สะเดาะเคราะห์
ปล่อยกบ
หมายถึง ขออุทิศให้แก่เจ้ากรรมนายเวร
หอยขม หมายถึง ทิ้งความขมขื่น จะร่มเย็นเป็นสุข
หอยโข่ง หมายถึง หนทางโล่งเป็นผู้นำ ข้าทาสบริวารมาก
ตะพาบ หมายถึง ภัยคุกคามต่า งๆจะราบ อัมพาตจะดีขึ้น อายุมั่นขวัญยืน

สำหรับผู้ที่เกิดแต่ละวัน มีเคล็ดในการทำบุญต่าง ๆ กันไป ดังนี้
บุคคลใดที่เข้าสู่เบญจเพท อายุลงท้ายเลข 5 ,9 เช่น 25 29 35 39 45 49 55 59 เป็นต้น
... คนเกิดวันอาทิตย์ ....ให้ปล่อยปลาไหล
... คนเกิดวันจันทร์...... ให้ปล่อยนก
... คนเกิดวันอังคาร..... ให้ปล่อยหอยขม
... คนเกิดวันพุธ.............ให้ปล่อยปลาไหล
... คนเกิดวันพฤหัส..... ให้ปล่อยเต่า
... คนเกิดวันศุกร์......... ให้ปล่อยปลาหมอ
... คนเกิดวันเสาร์........ ให้ปล่อยปลาไหล

จำนวนสัตว์ที่ปล่อย ถ้ามีกำลังทรัพย์ ก็ให้มากกว่าอายุ สำหรับคนที่มีรายได้น้อยไม่สะดวกเรื่องเงิน ให้ถือเลขอายุลงท้ายเลข คู่ ให้ปล่อยสัตว์จำนวนเลขคี่ อายุลงท้ายเลขคี่ ให้ปล่อยสัตว์จำนวนเลขคู่
... อายุ 24 ปล่อยสัตว์จำนวน เลขคี่ 1 3 5 7 9 ..... ฯ
... อายุ 25 ปล่อยสัตว์จำนวน เลขคู่ 2 4 6 8 10 12 14 ..... ฯ

คำอธิษฐาน การปล่อยสัตว์
ข้าพเจ้าชื่อ ......... นามสกุล เกิดวันที่ ..... เดือน . พ . ศ ...... อายุ .... ปี ได้ปล่อยสัตว์ ............... จำนวน ...... ตัว ปล่อยเพื่อให้เป็นที่พึ่งแก่ตนเอง เพื่ออุทิศส่วนกุสลให้แก่ศัตรู และเจากรรมนายเวรทั้งหลาย ตัวที่เป็นที่พึ่ง ขอให้นำความสุขและโชคลาภมาให้ข้าพเจ้า ตัวที่ให้กับศัตรูและเจ้ากรรมนายเวร จงนำเอาสรรพทุกข์ สรรพโศกสรรพโรค สรรพภัย สรรพเคราะห์เสนียดออกไปจากข้าพเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอให้พระแม่ธรณี พระแม่คงคา , เทพเทวา เจ้าที่เจ้าทาง , หลวงพ่อโต , และพญานาคราช จงป็นสักขีพยานรับทราบกุศลเจตนาของข้าพเจ้า และคุ้มครองชีวิตสัตว์ให้ปลอดภัยจนสิ้นอายุขัย ด้วยอำนาจของกุศลผลบุญนี้ จงสะเดาะเคราะห์ร้ายของข้าพเจ้าให้กลับกลายเป็นดี มีความร่มเย็นเป็นสุขประสพความสำเร็จสมหวังในสิ่งที่พึงปรารถนา มีความเจริญก้าวหน้า มีชีวิตที่ สดชื่น มีความสุขความเจริญ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปด้วยเทอญ .


ขอบคุณภาพประกอบ : Getty Images

 

 

การจุดธูปบูชา หรือขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถือปฏิบัติกันมายาวนานนับพันๆ ปีแล้ว ลองดูสิว่าที่ผ่านๆ มา เราใช้ธูปสักการะกันถูกต้องตามจำนวนรึเปล่า 

 

ธูป 1 ดอก ไหว้ศพ เจ้าที่ วิญญาณธรรมดา ที่ไม่ได้ขึ้นชั้นเทพ

ธูป 2 ดอก ใช้บูชาเจ้าที่

ธูป 3 ดอก ใช้บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

ธูป 5 ดอก ใช้บูชาพระรัตนตรัย บูชารัชกาลที่ 5 ธาตุทั้งห้า หรือทิศทั้งห้า พระภูมิ

ธูป 7 ดอก ไหว้พระพรหม บูชาพระอาทิตย์ ถือคติคุ้มครองทั้ง 7 วันในสัปดาห์

ธูป 8 ดอก บูชาเทพเจ้าของชาวฮินดู

ธูป 9 ดอก บูชาแก้ว 9 ประการ พระพุทธคุณทั้งเก้า และพระเทพารักษ์

ธูป 10 ดอก ใช้บูชาเจ้าที่ตามความเชื่อของชาวจีนบางกลุ่ม

ธูป 12 ดอก บูชาเจ้าแม่กวนอิม บูชาพระคุณของแม่

ธูป 16 ดอก บูชาเทพชั้นครู หรือพิธีกลางแจ้งที่มีการอัญเชิญเทวดา ที่สำคัญหมายถึงสวรรค์ 16 ชั้น

ธูป 19 ดอก บูชาเทวดาทั้ง 10 ทิศ

ธูป 21 ดอก บูชาพระคุณของพ่อ

ธูป 32 ดอก ใช้สวดชุมนุมเทวดาทั้ง 4 ทิศ

ธูป 108 ดอก บูชาสิ่งสูงสุดทั่วทั้งโลกทุกชั้นฟ้า

 

พึงระลึกไว้เสมอว่า การกราบไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ เพื่อขอพรก็จะไม่เป็นผลอะไร หากคุณเองยังไม่ได้พยายามอย่างที่สุดและหาทุกหนทาง เพื่อขะช่วยเหลือตนเอง

 

การกำจัดรอยเปื้อนต่างๆ บนเสื้อผ้า

การใช้เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายให้ทนทาน และอยู่ในสภาพดีนั้น ต้องรู้จักวิธีทำความสะอาด และกำจัดรอยเปื้อนต่างๆ บนเสื้อผ้า ดังนี้


๑. รอยเปื้อนกาว ใช้น้ำส้มสายชูเช็ดที่รอยเปื้อน นำมาแช่ในน้ำเย็น แล้วซักตามปกติ

๒. รอยเปื้อนขี้ผึ้ง วางกระดาษซับบนรอยเปื้อนแล้วกดด้วยเตารีดที่ร้อน เปลี่ยนกระดาษจนกระทั่งไขทั้งหมดถูกดูดซับไปหมด สำหรับผ้าเนื้อบางหรือผ้าไหมให้ใช้กระดาษทิชชูซับแทนกระดาษธรรมดา และใช้เตารีดที่ไม่ร้อนมาก

๓. รอยเปื้อนไข่ ผสมน้ำซักผ้ากับน้ำอุ่น แล้วนำผ้าเปื้อนไปซัก

๔. คราบน้ำตาเทียน ใช้ก้อนน้ำแข็งขูดเกล็ดเทียนออกให้มากที่สุด จากนั้นจึงใช้กระดาษประกบบริเวณที่เปื้อนทั้ง ๒ ด้าน แล้วใช้เตารีดอุ่นๆ รีดทับจนน้ำตาเทียนซึมออกมาติดกับกระดาษแล้วจึงนำผ้าไปซักตามปกติ

๕. คราบโคลน ปล่อยให้โคลนแห้ง แล้วใช้แปรงปัดออก ซักด้วยน้ำเย็นหลายๆ ครั้งจนไม่มีน้ำโคลนออกมา จึงซักด้วยผงซักซอก

๖. คราบน้ำชา รีบเทน้ำเดือดลงบนรอยเปื้อนบนผ้าที่เพิ่งเปื้อนจนรอยจางลง จากนั้นนำไปซักในน้ำอุ่นกับสบู่ ถ้ายังไม่ออกให้ใช้น้ำยาฟอกขาวเช็ด แล้วจึงนำไปซัก

๗. น้ำผลไม้, น้ำมันพืช นำผ้าที่เปื้อนไปขึงให้ตึงบนปากกะละมัง เทน้ำเดือดลงบนรอยเปื้อน แล้วจึงนำผ้าไปซัก

๘. รอยเปื้อนน้ำหมึก ก่อนซักให้นำเกลือป่นโรยตรงรอยเปื้อน แล้วบีบน้ำมะนาวลงไปให้ชุ่ม ผึ่งแดดไว้ครึ่งวัน จึงค่อยนำไปซัก

๙. รอยเปื้อนกาแฟ ใช้แป้งข้าวเจ้าถูบริเวณรอยเปื้อน แล้วจึงนำไปซักตามปกติ

๑๐. รอยเปื้อนน้ำส้มสายชู ผสมแอมโมเนีย ๑ ช้อนชา ในน้ำ ๒ ถ้วย (ครึ่งลิตร) แล้วนำผ้าไปแช่ ๒-๓ นาที ล้างออกแล้วซักตามปกติ

๑๑. รอยเปื้อนช็อกโกแลต รีบนำผ้าที่เปื้อนไปแช่น้ำอุ่นทันทีที่เปื้อน อาจใช้น้ำยาขจัดคราบช่วยด้วย จากนั้นนำไปซักตามปกติ

๑๒. รอยเปื้อนเลือด นำนมข้นหวานทาบริเวณรอยเปื้อน ทิ้งไว้สักครู่ แล้วนำไปขยี้น้ำออก

๑๓. รอยเปื้อนคราบเลือดจางๆ ใช้เบคกิ้งโซดาผสมน้ำสักเล็กน้อย จนข้น นำไปถูเบาๆ ตรงรอยเปื้อน เมื่อแห้งจึงปัดฝุ่นออก

๑๔. รอยเปื้อนคราบเลือดฝังแน่น ใช้ฟองน้ำจุ่มน้ำเย็นที่ผสมเกลือจนชุ่ม ถูเบาๆ จนรอยค่อยๆ จางลง แล้วใช้น้ำเปล่าถูอีกครั้ง สุดท้ายใช้ทิชชู่ซับน้ำให้แห้ง

๑๕. เปื้อนครีม เนย น้ำมัน นำแป้งฝุ่นทาตัวมาโรย ใช้กระดาษทิชชู่ หรือกระดาษบางอื่นๆ วางทับ นำเตารีดที่ร้อนพอสมควร วางทับบนกระดาษ จนแป้งดูดคราบมันออกหมด จึงนำไปซัก

๑๖. รอยเปื้อนสนิม นำผ้ามาชุบน้ำให้เปียกก่อน บีบน้ำมะนาวลงไปบนรอยเปื้อนทิ้งไว้สักครู่ แล้วจึงนำไปซักตามปกติ

๑๗. ผ้าขาวที่ออกสีเหลือง ใช้เปลือกไข่ป่นละเอียด ใส่ในกะละมังซักผ้า แช่ทิ้งไว้สักครู่ แล้วจึงซักตามปกติ

๑๘. ผ้าขึ้นรา (เล็กน้อย) นำผ้าไปซักในน้ำสบู่ร้อนๆ หรือบีบมะนาวลงไปตรงที่มีราขึ้น แล้วแช่ผ้าไว้ในผงซักฟอกสักครู่ แล้วจึงซักผ้าตามปกติ

๑๙. รอยเปื้อนยาแดง เช็ดรอยเปื้อนด้วยแอมโมเนีย หรือซักด้วยน้ำส้มสายชูผสมน้ำ

๒๐. รอยเปื้อนยาทาเล็บ ซับที่รอยเปื้อนด้วยน้ำยาล้างเล็บ และเช็ดด้วยผ้าที่สะอาดจนรอยเปื้อนจางลง (ควรลองหยดน้ำยาทาเล็บลงผ้าก่อน)

๒๑. รอยเปื้อนยางกล้วย ใช้มะนาวที่ฝานเป็นชิ้นบางๆ ถูตรงรอยเปื้อนที่เป็นคราบดำแล้วรีบนำมาซักทันที

๒๒. รอยเปื้อนลิปสติก ใช้มันเปลวหมูทาตรงรอยเปื้อน หรือใช้น้ำมันหมูทา แล้วจึงซักในน้ำสบู่ร้อนๆ หรือใช้ผงซักฟอกโรยตรงรอยเปื้อน แล้วขยี้ จากนั้นจึงซักตามปกติใช้วาสลินถูตรงรอยเปื้อน แล้วนำไปซักตามปกตินำผ้าที่เปื้อนไปแช่ในน้ำผสมเกลือทิ้งไว้ ๑ คืน จะทำให้รอยลิปสติกหายไป

๒๓. รอยเปื้อนดินสอ ใช้ยาสีฟันป้ายลงบนรอยดินสอแล้วขยี้

๒๔. รอยเปื้อนปากกาลูกลื่น ใช้ฟองน้ำชุบแอลกอฮอล์เช็ดจนรอยจางลง แล้วจึงนำไปซัก

๒๕. รอยเปื้อนหมากฝรั่ง ขูดยางหมากฝรั่งออกด้วยสันมีด แล้วใช้น้ำแข็งถูเพื่อให้ยางนั้นแข็งตัว แล้วค่อยๆ แกะออก จากนั้นใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ด นำไปซักในน้ำสบู่อ่อน

๒๖. คราบเหงื่อไคล ซักด้วยน้ำผสมน้ำส้มสายชูเล็กน้อย หรือน้ำมะนาวละลายยาแก้ปวด ๒ เม็ดลงในน้ำ แช่ผ้าไว้สักครู่ จึงค่อยซักตามปกติ

ที่มา : ฝ่ายวิชาการอักษรเจริญทัศน์

 

 อาหารผิวสูตรต้านริ้วรอย
เราอาจนึกไม่ถึง ว่าอาหารมีผลต่อการเกิดริ้วรอยและผิวที่หย่อนคล้อยโดยตรง นั่นเพราะทุกวันๆ เซลล์ผิวของเราจะถูกสร้างจากชั้นในสุดออกมายังด้านนอก และคุณภาพความสมบูรณ์ของเซลล์ผิวนั้น ก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพอาหารที่เราทานเข้าไปนี่เอง

...เพราะฉะนั้นแล้ว ผิวคุณจะสวยหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับอาหารผิวที่เราอยากขอแนะนำตามนี้
 

-  พืช ผัก ผลไม้ ที่มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) เพราะสารเหล่านี้จะช่วยร่างกายต่อสู้กับมลภาวะจากสิ่งแวดล้อมได้เต็มที่ อาหารผิวกลุ่มนี้ ได้แก่ ส้ม มะนาว มะละกอ สตรอเบอร์รี่ บรอคเคอร์รี่ ดอกกะหล่ำ ผักโขม เป็นต้น

-  พืชที่มีเบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) หรือวิตามินเอ (VitaminA) ซึ่งเป็นตัวช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิว และซ่อมแซมเซลล์ที่ถูกแสงแดดทำลาย ทั้งยังช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็งผิวหนังด้วย พบได้ในฟักทอง แครอท แตงโม แคนตาลูป มะเขือเทศสุก ฝรั่ง ผักโขม ที่นับเป็นอาหารผิวชั้นดี
 

-  ทานอาหารที่มีเซเรเนียม (Selenium) มีคุณสมบัติในการปกป้องผิวจากการถูกแสงแดดทำลาย และการเสื่อมสภาพของผิว อาหารที่มีเซเรเนียมสูงมีอยู่ในธัญพืชที่ไม่ฟอกขาว เนื้อแดง กุ้ง ปู ข้าวกล้อง ไข่ เห็ด
 

-  พืช ผักสดเพื่อรับเอนไซม์ หรือแร่ธาตุ วิตามินต่างๆ (Enzyme, Photochemical) อาทิ ใน บร็อคโคลิ ดอกกะหล่ำ ขึ่นฉ่าย แครอท คะน้า ซึ่งสารอาหารจากอาหารผิวต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้ร่างการซึมซับสารอาหารต่างๆได้ดี และกำจัดของเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ

-  ทานอาหารที่มีวิตามินซี (Vitamin C) เป็นวิตามินที่เกี่ยวข้องกับการผลิตคอลลาเจน และปกป้องเซลล์ผิวจากการถูกทำลาย เราสามารถพบอาหารผิวที่มีวิตามินซีมากๆ จากฝรั่ง ส้ม สับปะรด และมะขามป้อม
 

- เลือกอาหารที่มีวิตามินอีและสังกะสี (Vitamin E & Zinc) เพื่อช่วยปกป้องเซลล์ผิวชั้นนอกจากรังสี UVสามารถพบวิตามินอีในน้ำมันรำข้าว น้ำมันมะกอก ถั่ว งา ต่างๆ ข้าวกล้อง และพบสังกะสีในปู หอยนางรม เนื้ออกไก่ จมูกข้าว
 

- กรดไขมันจำเป็นตระกูลโอเมก้า-3 (Essential Fatty Acid: Omega-3) เพราะทำให้ผิวชั้นนอกแข็งแรง จึงสามารถเก็บความชุ่มชื่นไว้ในผิวได้ดี ผิวจึงไม่แห้ง และยังช่วยป้องกันการอักเสบง่ายของผิวอีกด้วย เราสามารถรับอาหารผิวดีๆ กลุ่มนี้ได้จากปลาทู ปลาทะเลทั่วไป สาหร่าย หรือในน้ำมันถั่วเหลือง
 

- ดื่มน้ำให้พอดี (Water) เป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ของการมีสุขภาพผิวที่ดี เพราะน้ำเป็นองค์ประกอบสำคัญของผิว น้ำช่วยให้ผิวถ่ายเทของเสียออกจากเซลล์ และเป็นตัวนำสารอาหารเข้าสู่เซลล์ผิว และช่วยให้อวัยวะต่างๆ ทำงานได้อย่างราบรื่นเป็นปกติ เซลล์ผิวที่สมบูรณ์จะอวบอิ่มไปด้วยน้ำ ซึ่งหมายถึงผิวจะดูสดใส เต่งตึง

 

15 สูตร มาสก์ผิวสวยแบบทำเอง


ทุกครั้งที่จับจ่ายซื้อผลไม้หรือของทานเล่นในซูเปอร์มาร์เกต ลองคว้ารายการเหล่านี้มาเก็บไว้ใช้ปรุงสวยดูสิ นี่ล่ะสูตรมาสก์หน้าแบบธรรมชาติที่ได้ผลแบบไม่ต้องกลัวเสี่ยง เพียงเลือกเอาสูตรที่ชอบและเหมาะกับสภาพผิว จากนั้นก็ลงมือสวยกันได้ทุกครั้งที่ต้องการ

แต่ก่อนลงมือคว้าของดีจากตู้เย็นมาปรุงสูตรมาสก์หน้า เราขอแนะนำสักนิดว่า ก่อนอื่นควรดูสภาพผิวของเราเองก่อนอื่นใด ว่ามีสภาพผิวแบบไหน และมีประวัติแพ้อะไรมาบ้าง จากนั้นจึงเลือกผลไม้ที่เหมาะกับผิวเราจริงๆ อาทิเช่น คนที่ผิวแห้ง ก็ควรเลือกอาหารผิวที่ช่วยเติมน้ำและน้ำมันให้ผิว ในขณะที่ผิวมันควรเลือกอาหารผิวที่ให้ความตึงกระชับ ไม่มันเยิ้ม หรือคนมีสิว ก็เลือกสารสกัดที่มีกรดธรรมชาติในการลดเลือนรอยสิวให้จางลงพร้อมการบำรุงที่ ดี

นอกจากนี้ การเลือกส่วนผสมในการมาสก์หน้าที่เข้ากันได้ก็สำคัญไม่น้อยเลย อย่าลืมเชียวว่า แม้การปรุงสูตรสวยสไตล์ธรรมชาติๆ อย่างนี้จะไม่มีข้อจำกัดมากมายนัก แต่ก็ควรเลือกชนิดที่เข้ากัน และมีปฏิกิริยาทางเคมีที่ส่งเสริมกันด้วย หรือถ้าให้ง่ายเข้า ก็ลองพกสูตรที่เรานำมาฝากไปปรุงสวยกันก่อน งานนี้คงมีสักสูตรที่โดนใจเป็นแน่ เพราะ 15 สูตรเหล่านี้ ไม่ลองไม่ได้เลย

1.      มะนาว + ไข่ขาว + น้ำผึ้ง (ให้ผิวนุ่ม กระชับ)
2.      โยเกิร์ต + ไข่แดง (ใช้ได้กับทุกสภาพผิว)
3.      แตงกวาบด + โยเกิร์ต (หรือกับนมก็ได้ ให้ผิวนุ่มๆ น่าจับ)
4.      มะขามเปียก + น้ำผึ้ง (เติมน้ำผึ้งมากหน่อย เพราะมะขามเปียกมีความเป็นกรดสูง)
5.      แอปเปิ้ลบด + น้ำผึ้ง (ดีต่อสุขภาพแล้วยังดีต่อผิว ใช้ได้กับทุกผิวด้วย)
6.      กล้วยบด + โยเกิร์ต + น้ำผึ้ง (ผิวมันเหมาะมาก ใช้แล้วผิวนุ่มจนสัมผัสได้)
7.      สตรอเบอร์รี่บด + น้ำผึ้ง (ผิวสิว ผิวมัน ใช้ได้ผลดี และยังให้กลิ่นหอมสดชื่น น่าทาน)
8.      น้ำมันงา (ใช้อย่างเดียวก็เอาอยู่ จากนั้นซับออกเบาๆ)
9.      อัลมอนด์บด + โยเกิร์ต + น้ำผึ้ง (ดูน่าทาน แต่ดีกับผิวด้วยนะ)
10.    มะละกอ + ฟักทอง + น้ำผึ้ง (หอมสดชื่น และยังช่วยเติมสารแอนติออกซิแดนท์ให้ผิว)
11.    มะเขือเทศ + มะนาว + น้ำผึ้ง (วิตามินเพียบ กระชับผิวได้ทุกสภาพผิว)
12.    ส้ม + โยเกิร์ต + ว่านหางจระเข้ (ปรับผิวให้ขาวใส ชุ่มชื่น หอมนุ่ม)
13.    ชาคาโมมายด์ (แกะจากซอง) + น้ำผึ้ง + ไข่ขาว (เพื่อความผ่อนคลาย และปรับผิวให้นุ่มนวล)
14.    แครอทบดแช่เย็น + น้ำผึ้ง (อุดมด้วยวิตามิน เอ และซี พร้อมสารแอนติออกซิแดนท์)
15.    ผงขมิ้น + ดินสอพอง + มะนาว (สูตรเพื่อผิวขาวสวย และยังขจัดสิวได้ดีอีกด้วย)

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

ติชม


ต้องการให้คะแนนบทความนี้่ ?

สร้างโดย :


hat

สถานะ : ผู้ใช้ทั่วไป
คอมพิวเตอร์ธุรกิจ