ความรู้รอบตัว

===> ทัชมาฮัล <===



ถ้าถามว่า “ความรักคืออะไร“…. อย่าคิดหาคำตอบให้เสียเวลา…เพราะว่าเราจะไม่ได้ความหมายที่แท้จริงเลย คำๆ นี่ไม่มีแม้กระทั่งคำจำกัดความของตัวมันเอง เรารู้แต่เพียงว่า “ความรัก” นั้น สามารถบันดาลให้เกิดขึ้นได้ทุกสิ่ง

       
ทัชมาฮัล คือตัวอย่างของตำนานแห่ง “ ความรัก” ที่ปราศจากนิยามคำนี้ ผู้ที่สร้างตำนานความรักอันยิ่งใหญ่คือ กษัตริย์ชาห์ญะฮาน กษัตริย์องค์ที่ 5 ในราชวงศ์โมเลกุล ที่ทรงโปรดให้สร้าง ตาซมะฮัล หรือ ทัชมาฮัลขึ้นเป็นอนุสรณ์แทนความรักที่พระองค์มีต่อมเหสีคือ พระนางมุมตาซ มะฮัล จนสถานที่แห่งนี้กลายเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรักที่งดงามที่สุดในโลก

        
กษัตริย์ชาห์ ญะฮาน ทรงเป็นพระราชโอรสของกษัตริย์ญะฮางงีร์ ทรงประสูติเมื่อปี ค.ศ. 1592 เป็นที่ร่ำลือตั้งแต่ครั้งทรงพระเยาว์ว่าพระองค์ทรงเป็นเจ้าชายที่ทรงเคร่งขรึม ในพระทัยเต็มไปด้วยความทุกข์ระทม ความเป็นคนอมทุกข์ของพระราชโอรสสร้างความหนักพระทัยให้กับพระราชบิดาเป็นอย่างมาก กษัตริย์ญะฮางีร์ ทรงแนะ
นำให้พระราชโอรสดื่มน้ำจัณฑ์และหาความสำราญพระทัยด้านต่างๆ มาสู่พระราชโอรส แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ชาห์ ญะฮาน ยังทรงเคร่งขรึมไม่เบิกบานพระทัยเช่นเดิม

        จนกระทั่งวันหนึ่ง เจ้าชายได้เสด็จประพาสตลาดและได้พบกับสาวน้อยวัย 14 ปี นามว่า
อรชุนด์ บาโน เบคุม เป็นบุตรสาวของ อะซีฟ ข่าน เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1592 และมีเชื้อสายเปอร์เซีย เพียงได้เห็นดวงหน้าของนางครั้งแรกเจ้าชายก็เกิดรักแรกพบขึ้นที่ตลาดนั่นเอง 3 ปีให้หลัง พิธิอภิเษกสมรสของเจ้าชายก็ถูกจัดขึ้นในปี ค.ศ. 1612 หลังจากพิธีอภิเษก อรชุนด์ บาโน เบคุม ได้รับพระราชทานนามใหม่ว่า มุมตาซ มะฮัล ซึ่งแปลว่า อัญมณีแห่งปราสาท หลังจากนั้นเป็นต้นมาเจ้าชายก็ทรงเปลี่ยนไป เพราะเบิกบานพระ
ทัยยิ่งนัก อีกทั้งสองพระองค์ก็เป็นคู่รักที่ไม่เคยแยกจากกันเลย ในปี ค.ศ. 1628 เจ้าชายเสด็จขึ้นครองราชบังลังก์ ทรงพระนามว่า
กษัตริย์ชาห์ ญะฮาน โดยมีพระนางมุมตาซ มะฮัล เป็นพระมเหสีคู่พระทัย พระนางทรงเป็นทั้งคู่คิดและที่ปรึกษา และ มีส่วนในการช่วยเหลือพระสวามีในการปกครองบ้านเมือง อีกทั้งยังทรงเป็นที่รักใคร่ของพสกนิกรทั่วหล้า

        พระนางมุมตาซ มะฮัล ทรงให้กำเนิดพระราชโอรสและพระราชธิดา
รวม 14 พระองค์ หลังจากทรงให้กำเนิดพระราชโอรสองค์ที่ 14 ในช่วงปี ค.ศ. 1631 พระนางได้เสด็จร่วมกรีธาทัพกับพระสวามี ณ เมืองเดคข่าน แต่ระหว่างเสด็จกลับพระนครพระนางก็ทรงพระประชวรและสิ้นพระชนม์ในที่สุดขบวนเคลื่อนพระศพสู่พระนครนั้น ถูกจัดอย่างเอิกเกริกมโหฬาร ตลอดเส้นทางที่เคลื่อนขบวนมีการโปรยทานแก่คนยากจน เมื่อขบวนเคลื่อนเข้าใกล้กรุงอาครา ผู้ที่อาลัยรักพระนางต่างมาสมทบมากขึ้นจนเป็นขบวนแห่พระศพที่ยิ่งใหญ่มาก

        กษัตริย์ชาห์ ญะฮาน โปรดให้นำอาหารมาเลี้ยงแก่ประชาชนทั้งหลายอย่างเต็มที่ เพื่อเป็นการทำบุญอุทิศแก่พระมเหสีอันเป็นที่รักยิ่ง การจากไปอย่างไม่มีวันกลับของพระมเหสีสุดที่รักสร้างความโทมนัสตรอมพระทัยให้กับกษัตริย์ชาห์ ญะฮานเป็นอย่างมาก พระองค์ไม่ทรงเสวยและไม่ทรงพระบรรทม
ทรงแต่ฉลองพระองค์ด้วยเครื่องนุ่มห่มสีขาวเป็นการไว้ทุกข์ และทรงเสด็จเยี่ยมหลุมฝังศพของพระนางทุกวันศุกร์ด้วยความอาลัยรักอย่างยิ่ง จึงโปรดให้สร้างอนุสาวรีย์แห่งความรักขึ้นมาอย่างวิจิตรอลังการ และให้ชื่อเรียกว่า ตาซ มะฮัล สร้างอยู่บนพื้นที่ 42 เอเคอร์ ริมฝั่งแม่น้ำยมุนา

       
ในการก่อสร้างนั้น กษัตริย์ชาห์ ญะฮาน โปรดให้ระดมช่าง ศิลปิน และสถาปนิกที่ได้ชื่อว่าฝีมือดีเยี่ยมที่สุดจากหลายๆ ที่ ประมาณ 20,000 คน ใช้เวลาการในก่อสร้าง 22 ปี สิ้นค้าใช้จ่ายในการก่อสร้างไปประมาณ 45 ล้านรูปี พระอนุสาวรีย์แห่งนี้สร้างด้วยศิลาขาวทั้งหมดมีโดมทรงกลมเด่นอยู่ตรงกลาง สูงถึง 72 เมตร บริเวณโดยรอบมีผนังศิลาแลงล้อมรอบ ประตูทางเข้าวางอยู่บนฐานศิลาแลง บริเวณทางเข้ามีสระน้ำหินอ่อนสีขาวรอบทางเดินเป็นสวนดอกไม้นานาพันธุ์

        ตำแหน่งที่เป็นที่วางพระศพของพระนางมุมตาซ
ทำเป็นแท่นรูปบัวตูม ส่วนหีบพระศพเป็นหินอ่อนสีขาวแกะสลักอย่างงดงาม หลังจากที่เป็นที่สร้างทัชมาฮาลเสร็จแล้ว กษัตริย์ชาห์ ญะฮาน ได้เสด็จมายังสถานที่แห่งนี้เสมอๆ จนกระทั่งในค.ศ. 1658 ก็ทรงล้มป่วย พระราชโอรสองค์ที่ 3 คือ ออรังเซป ก็ตั้งตนขึ้นครองราชบัลลังก์แทน และจับกษัตริย์ชาห์ ญะฮาน พระราชบิดา กักขังไว้จนสิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 1666

        ก่อนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ระหว่างที่ถูกกักขังอยู่กษัตริย์ชาห์ ญะฮาน เฝ้าแต่นั่งจ้องมองดูกระจกชิ้นเล็กๆ ที่ส่องสะท้อนออกไปเห็นทัชมาฮัล พระองค์สวรรคตพร้อมด้วยกระจกที่กำแน่นอยู่ในพระหัตถ์ และ
พระบรมศพของพระองค์ก็ได้ถูกนำไปฝังในทัชมาฮัล เคียงข้างกับพระมเหสีสุดที่รัก ตามพระประสงค์ที่ทรงต้องการจะอยู่เคียงคู่กันตราบชั่วนิจนิรันดร์ ตำนานอันเลื่องลือของความรักที่ปรากฏไปทั่วโลกเรื่องนี้

        ยังมีเรื่องเล่าในอีกแง่มุมหนึ่งเกิดขึ้นมาที่ว่ากันว่ากษัตริย์ชาห์ ญะฮาน
สร้างทัชมาฮัลขึ้นมาด้วยความเห็นแก่ตัว โดยไม่คิดถึงหลักมนุษยธรรม และทัชมาฮัลก็กลายเป็นที่
เกลียดชังของทุกคนเพราะในการสร้างทัชมาฮัล กษัตริย์ชาห์ ญะฮาน ระดมช่างฝีมือดีมาเป็นจำนวนมากและมีกฎว่าต้องสร้างให้เสร็จตามกำหนดเวลา
ถ้าสร้างไม่เสร็จก็จะถูก
ลงโทษ
และยังมีเรื่องเล่าอีกว่า เมื่อสร้างทัชมาฮัลเสร็จแล้ว ช่างทุกคนก็ถูกฆ่าตาย จนหมดเพื่อป้องกันไม่ให้ไปสร้างสถานที่ที่งดงามเช่นนี้เลียนแบบไว้ที่ไหนอีก

        บ้างก็ว่า กษัตริย์ชาห์ ญะฮาน อาจะไม่ได้ตั้งใจที่จะสร้างทัชมาฮัลให้ยิ่งใหญ่เพื่อความรัก แต่มีแผนการที่จะสร้างปราสาทที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก เพื่อสนองความต้องการ - ของตัวเอง และในการสร้างทัชมาฮัลนี้ ทำให้ประเทศอินเดียต้องสูญเสียเงินที่จะมาสร้างความเจริญให้กับประเทศ
ไปถึง 250 ปี อย่างไรก็ตาม โลกก็ได้ให้รางวัลสำหรับ - ความยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ด้วยการจัดให้ทัชมาฮัล เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ตราบมาจนถึงปัจจุบันนี้





===> กล่องดำที่อยู่ในเครื่องบิน <===


ผังตำแหน่งส่วนประกอบของระบบบันทึกข้อมูลการบิน

นำข้อมูลมาจาก http://www.thaiair.info ครับ

    เมื่อใดก็ตามที่เกิดอากาศยานอุบัติเหตุ สองสิ่งแรกที่หน่วยกู้ภัยต้องรีบค้นหาคือ ผู้รอดชีวิตและอุปกรณ์บันทึกข้อมูลการบิน หรือที่เรียกกันว่า 'กล่องดำ (Black Box)'
เครื่องบินโดยทั่วไปจะต้องปฏิบัติตามกฎด้านการบิน ในการติดตั้ง '
กล่องดำ' สองชนิดสำหรับบันทึกข้อมูลการบินเพื่อช่วยจำลองเหตุการณ์ก่อนหน้าที่จะเกิดอุบัติเหตุ โดย
กล่องดำ 2 ชนิดนั้นมี ดังนี้

       
เครื่องบันทึกเสียงในห้องนักบิน (The Cockpit Voice Recorder - CVR)

1. กล่องที่ชื่อว่า Cockpit Voice Recorder (CVR) โดย เครื่อง CVR จะบันทึกเสียงพูดของนักบิน รวมทั้งเสียงอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในห้องนักบิน โดยรับเสียงจากไมโคร-
    โฟนของนักบิน และไมโครโฟนที่ติดตั้งไว้ในแผงอุปกรณ์ด้านบนระหว่างนักบินทั้งสอง เสียงที่เกิดขึ้นในห้องนักบินทั้งหมดเช่น เสียงเครื่องยนต์ สัญญาณเตือน เสียงการ
    เคลื่อนไหวของฐานล้อ เสียงการกดหรือว่าปลดสวิตช์ต่างๆ เสียงการโต้ตอบการจราจรทางอากาศ การแจ้งข่าวอากาศ และการสนทนาระหว่างนักบินกับพนักงานภาคพื้น-
    หรือลูกเรือ จะถูกบันทึกไว้เพื่อประโยชน์ในการสอบสวน โดยจะนำไปพิจารณาประกอบกับค่าอื่นๆ เช่น รอบเครื่องยนต์ ระบบที่ผิดปกติ ความเร็ว และเวลา ณ เหตุการณ์ -
    นั้นๆ เครื่องบันทึกเสียงในห้องนักบินแบบแถบแม่เหล็ก จะบันทึกเสียงได้ในช่วงเวลาประมาณ 30 นาที จากนั้นจะขึ้นรอบการบันทึกใหม่ ในขณะที่เครื่องบันทึกแบบหน่วย
    ความจำ สามารถบันทึกได้รอบละประมาณสองชั่วโมง


เครื่องบันทึกข้อมูลการบิน (The Flight Data Recorder - FDR)

2. กล่องที่ชื่อว่า Flight Data Recorder - FDR โดย เครื่อง FDR จะบันทึกสภาวะต่างๆ ในระหว่างปฏิบัติการบิน ตามกฎระเบียบสำหรับอากาศยานรุ่นใหม่ๆ จะต้อง
    มีการตรวจบันทึกข้อมูลที่สำคัญอย่างน้อย 11 ถึง 29 ประเภท ตามขนาดเครื่องบิน เช่น เวลา ระยะสูง ความเร็ว ทิศทาง และท่าทางของเครื่องบิน นอกจากนี้ FDR บาง
    เครื่องสามารถบันทึกสถานะต่างๆ ได้อีกมากกว่า 700 ลักษณะ ซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับการสอบสวน รายการที่ถูกตรวจบันทึกพื้นฐานได้แก่ เวลา ระยะสูง ความเร็ว อัต-
    ราเร่งตามแนวดิ่ง ทิศทาง ตำแหน่งคันบังคับและอุปกรณ์บังคับการบินอื่นๆ ตำแหน่งของแพนหางระดับ อัตราการไหลของเชื้อเพลิง ด้วยข้อมูลที่อ่านได้จาก FDR จะทำ
    ให้คณะผู้สอบสวนอุบัติเหตุสามารถสร้างภาพเคลื่อนไหวของการบินได้ เจ้าหน้าที่สอบสวนสามารถมองเห็นภาพท่าทางเครื่องบิน ค่าที่อ่านได้จากเครื่องวัด การใช้เครื่อง
    ยนต์ และ ลักษณะอาการต่างๆ ของการบิน ภาพเคลื่อนไหวนี้ทำให้คณะผู้สอบสวน ทราบเหตุการณ์สุดท้ายของการบินก่อนเกิดอุบัติเหตุ

    แม้อุปกรณ์ทั้งสองจะถูกเรียกว่า 'กล่องดำ' แต่ตัวกล่องจริงจะมีสีแสดสะดุดตา และมีแถบสะท้อนแสงติดอยู่ เพื่อช่วยให้สังเกตง่าย เหตุที่เรียกว่า 'กล่องดำ' อาจจะเป็น -
เพราะ
อุปกรณ์นี้มีสีดำในรุ่นแรกๆ หรือเรียกตามสภาพที่ดำเกรียม หลังจากถูกเผาไหม้

    เมื่อเกิดอากาศยานอุบัติเหตุ อุปกรณ์ที่จะต้องคงสภาพมากที่สุดคือส่วน Crash-Serviable Memory Unit (CSMU) ของ CVR และ FDR แม้ตัวกล่องและส่วน-
ประกอบอื่นๆ จะเสียหาย ดังนั้นอุปกรณ์นี้จะต้องได้รับการออกแบบให้ทนความร้อน, แรงกระแทก และแรงกด โดยผ่านการทดสอบต่อไปนี้

- ยิงอุปกรณ์นี้ให้กระทบเป้าอลูมิเนียมเพื่อให้เกิดแรงกระแทก 3,400 G (แรงโน้มถ่วงของโลก = 1 G)
- ทดสอบความทนต่อการเจาะ โดยปล่อยก้อนน้ำหนักขนาด 500 ปอนด์ (227 กิโลกรัม) ที่มีเข็มเหล็กขนาด 0.25 นิ้ว อยู่ด้านล่าง   ให้กระทบลงบน  
  CSMU จากความสูง 10 ฟุต (3 เมตร)
- ทดสอบด้วยแรงกด 5,000 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว เป็นเวลา 5 นาที บนทุกด้านของ CSMU
- เผาด้วยความร้อน 2,000 oF (1,100 oC) นาน 1 ชั่วโมง
- แช่ในน้ำเค็มนาน 24 ชั่วโมง
- แช่น้ำนาน 30 วัน
- ทดสอบความทนทานต่อของเหลวอื่นๆ เช่น เชื้อเพลิงเครื่องบิน, นำมันหล่อลื่น และสารเคมีดับเพลิง

   
สภาพกล่องดำหลังเกิดอุบัติเหตุ

    เครื่องบันทึกแต่ละเครื่องจะต้องประกอบด้วยเครื่องแจ้งตำแหน่งใต้น้ำ (Underwater Locator Beacon - ULB) หรือเรียกว่า 'pinger' เพื่อที่ช่วยการค้นหาใน
กรณีอุบัติเหตุเหนือน้ำ pinger จะทำงานเมื่อจมน้ำโดยจะส่งคลื่นเสียงความถี่ 37.5 kHz อุปกรณ์นี้สามารถส่งสัญญาณได้จากความลึกถึง 14,000 ฟุต หน่วยกู้ภัยจะใช้ - อุปกรณ์พิเศษที่เรียกว่า Pinger Locator System (PLS) ลากไปในน้ำเพื่อรับสัญญาณจาก 'pinger' เพื่อค้นหาตำแหน่งของ 'กล่องดำ'
    เมื่อพบกล่องดำแล้ว เจ้าหน้าที่จะขนส่งอย่างระมัดระวัง เพื่อนำไปเข้ากระบวนการตรวจสอบ โดยคงสภาวะเดิมให้มากที่สุด หากค้นพบในน้ำเครื่องบันทึก
จะถูกส่งไปใน-
ถังบรรจุพร้อมกับน้ำ
เพราะหากเครื่องบันทึกแห้งลง ข้อมูลอาจสูญเสียไปได้
    ด้วยอุปกรณ์และคอมพิวเตอร์ที่สลับซับซ้อน
ข้อมูลที่บันทึกไว้จะได้รับการแปลงรูปแบบให้สามารถเข้าใจง่าย เพื่อนำไปประกอบกับหลักฐานอื่นๆ ในการพิจารณาสาเหตุที่
แท้จริงต่อไป หากเครื่องบันทึกไม่เสียหายมากนัก ผู้สอบสวนเพียงต่อเครื่องบันทึกเข้ากับเครื่องอ่าน ก็จะทราบข้อมูลได้ภายในสองสามนาที แต่บ่อยครั้งพบว่าเครื่องบันทึก-
ที่ค้นหาได้จากซากเครื่องบินจะบุบสลายและถูกเผาไหม้ ในกรณีเช่นนี้ แผงหน่วยความจำจะถูกถอดออกมาทำความสะอาด และเชื่อมโยงเข้ากับเครื่องบันทึกอีกเครื่องหนึ่งที่มี
Software พิเศษที่สามารถถ่ายเทข้อมูลได้ โดยไม่มีการเขียนทับหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูล

===> ปริศนาเรืออาร์คของโนอาห์ <===


นำข้อมูลมาจาก http://www.thai.net/myth ครับ

So God said to Noah, 'I am going to put an end to all people, for the earth is filled with violence because of them. I am surely going to destroy both them and the earth. So make yourself an ark of gopher wood; make rooms in it and coat it with pitch inside and out. This is how you are to build it: The ark is to be 300 cubits long, 50 cubits wide and 30 cubits high. Make a roof for it and finish the ark to within one cubit of the top. Put a door in the side of the ark and make lower, middle and upper decks. I am going to bring floodwaters on the earth to destroy all life under the heavens, every creature that has breath of life in it...' Genesis 6:13-17


    ข้อความข้างต้นมาจากพระคัมภีร์ เป็นสิ่งที่พระเจ้าตรัสกับโนอาห์ ก่อนที่น้ำท่วมโลกครั้งใหญ่จะเกิดขึ้น ซึ่งก็เป็นตำนานที่รู้จักกันดีกับเรื่องของโนอาห์ และ เรืออาร์ค แน่ล่ะครับ เรื่องน้ำท่วมโลกนี้ มีจริงแท้แน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะหลักฐานทางธรณีวิทยานั้น ระบุไว้ชัดเจนมากๆ ถึงกระนั้นเราก็แน่ใจไม่ได้หรอกว่า น้ำท่วมโลกนั้น เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์ หรือการดลบันดาลจากพระผู้เป็นเจ้ากันแน่ จะอย่างไหนก็ช่าง ถ้าเคยน้ำท่วมโลกมาแล้วจริงๆ เรือของโนอาห์ก็น่าจะมีอยู่จริงเหมือนกันสิน่า ... นักคิดหลายคนเคยคิดกันอย่างนั้น และนั่นก็เป็นต้นตอของการค้นหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์อีกอย่างหนึ่งของชาวคริสต์ วัตถุสำคัญชิ้นมหึมาที่หลายคนคาดกันว่า มันต้องซุกซ่อนอยู่มุมใดมุมหนึ่งของโลกนี้อย่างแน่นอน ...

     ในปี ค.ศ. 2959 นักบินที่ทำหน้าที่ทำแผนที่จากภาพถ่ายทางอากาศของ NATO ได้บังเอิญไปพบสิ่งประหลาดบริเวณที่สูงขึ้นมาจากตีนเขา ของเทือกเขา Ararar ราวๆ 15 ไมล์ ร้อยเอก Ilhan Durupinar แห่งกองทัพอากาศตุรกีรู้สึกพิศวงกับสิ่งประหลาดที่ค้นพบนั้น เขาจึงศึกษามันด้วยกรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่า stereoscopic และพบว่า สิ่งประหลาดดังกล่าว มีรูปทรงคล้ายกับเรือลำหนึ่ง เรื่องนี้ได้รับการตรวจสอบอีกทีโดยผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยโอไฮโอ Dr. Arthur Brandenberger โดย
ท่านด็อกเตอร์ยืนยันว่า ภาพถ่ายดังกล่าวเป็นของจริง และไม่ได้เกิดจากความผิดพลาดของแสงเงาแต่ประการใด ดูเหมือนว่าวัตถุที่รูปทรงคล้ายเรือลำนั้น จะเป็นอะไรที่ไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมของเทือกเขามาตั้งแต่ต้น เพียงแต่ว่า... เรือลำเบ้อเริ่มลำนั้น ขึ้นไปทำธุระอะไรบนเทือกเขาสูงชันและหนาวเหน็บของตุรกีกันเล่าครับ? จากสถานที่ที่พบ สิ่ง-
เดียว
ที่จะเชื่อมโยงปริศนาชิ้นดังกล่าว และเป็นสิ่งเดียวที่ผู้คนพอจะหวนระลึกถึงได้นั้นก็คือ
เรืออาร์คของโนอาห์ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล

     การค้นพบของนักบินชาวตุรกีผู้นั้น หาได้เป็นการค้นพบเรือปริศนาจากยุคสมัยแห่ง Genesis ตามพระคัมภีร์เป็นครั้งแรกไม่ เอกสารและบันทึกตั้งแต่สมัยโบราณหลายชิ้น ได้กล่าวอ้างถึงการพบเห็นเรือ(ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเรือ)อาร์คอยู่หลายต่อหลายครั้ง Epiphanius บิชอปแห่งซาลามิส ได้ทรงบันทึกส่วนพระองค์เป็นข้อสังเกตเอาไว้ว่า เรืออาร์ค น่าจะยังคงอยู่ในบริเวณที่เรียกกันว่า 'mountains of the Gordians,' แต่บรรดานักท่องเที่ยวที่ไปที่นั่น ก็ไม่ได้เห็นอะไรที่สื่อไปถึงโนอาห์เลยแม้แต่น้อยนอกจากดินที่แห้งผาก นักท่องเที่ยวในสมัยศตวรรษที่ 12 Benjamin of Tudela กล่าวว่า Omar Ben al-Khatab เป็นผู้ทรงสั่งเคลื่อนย้ายวัตถุดังกล่าว เพื่อทำตามพระประสงค์ของพระองค์ที่ทรงจะสร้างมัสยิด

     จากหลักฐานและบันทึกที่ได้พบดังกล่าว นำมาซึ่งข้อโต้เถียงมากมาย เกี่ยวกับเรืออาร์คของโนอาห์ลำนี้ ว่ามันควรจะตั้งอยู่ในสถานที่ใดกันแน่ ก็เพราะว่าส่วนนึงในไบเบิลระบุว่า เรืออาร์คของโนอาห์อยู่ในเทือกเขา Ararat นี่เองแหละ นักศาสนวิทยาและนักโบราณคดีในสมัยก่อน จึงเล็งความสนใจไปที่ตัวภูเขา Ararat เอง ซึ่งสมัยนั้นไม่มีหรอกครับชื่อภูเขานี้ เพราะฉะนั้นต่อให้พลิกแผ่นดินหา เหมือนคิงอาร์เธอร์ตามหาจอกศักดิ์สิทธิ์ ก็ยังหาไม่เจออยู่ดี ทำไมน่ะหรือครับ? ก็เพราะว่า สมัยก่อนภูเขาดังกล่าวไม่ได้ชื่อนี้น่ะสิ ชื่อของมันที่เป็นที่รู้จักกันดีในสมัยโบราณก็คือ Amenia แถมข้อความในไบเบิลยังระบุเอาไว้แบบคลุมเคลือ จนแทบจะตีความไปได้ว่า เรืออาร์ค อาจจะจอดนิ่งอยู่บริเวณไหนเทือกเขาใดก็ได้ในแถบนั้น สำหรับในคัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งมีอีกเวอร์ชั่นหนึ่งของโนอาห์กับเรืออาร์ค ระบุเอาไว้ว่า เรือของโนอาห์จอดอยู่บนยอดเขาที่ชื่อ Judi

     บุคคลปัจจุบัน ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นคนปีนขึ้นไปพบเรืออาร์คอย่างเป็นทางการ มีชื่อว่า James Bryce แห่งมหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ด Bryce ใช้กิจกรรมยามว่างทำโดยการปีนภูเขา Ararat เล่นในปี 1876 ที่ใกล้ๆกับบริเวณยอดเขา เข้าได้พบแท่งอะไรบางอย่างยาว 4 ฟุตโผล่ขึ้นมาจากน้ำแข็ง และอย่างไม่มีเหตุผลกลใดมาดลใจ ตัวเขาเองคิดว่า เจ้าสิ่งที่โผล่ขึ้นมานั้น น่าจะเป็นเรืออาร์คในตำนานอย่างแน่นอน ถัดมาในปี 1892 John Joseph Nouri นักสำรวจอีกผู้หนึ่งประกาศต่อสาธารณชนว่า เขาก็เคยพบเรืออาร์คลำดังกล่าวเช่นเดียวกัน หลังจากสำรวจและเข้าไปดูบางส่วนของลำเรือ เขาพบว่า ลำเรือมีความยาว 300ศอกดังที่บันทึกไว้ในไบเบิลทุกประการ


ภาพถ่ายจากเหนือชั้นบรรยากาศ ของเทือกเขา Ararat

     ก่อนหน้าศตวรรษที่ 20 จะมาถึง มีนักสำรวจและทีมนักโบราณคดีมากมาย ได้ปีนภูเขาดังกล่าว เพื่อขึ้นไปดูสิ่งที่เชื่อกันว่าเป็นเรืออาร์คให้เห็นกับตา มีหลายทีมที่ได้สำรวจวัตถุดังกล่าวอย่างใกล้ชิด แต่แล้ว ... เรื่องน่าเศร้าที่เกิดกับวงการโบราณคดี ที่ไม่ได้เกิดขึ้นกับวัตถุทรงค่าชิ้นนี้เป็นครั้งแรกก็เกิดขึ้น ใช่แล้วครับ เหตุผลทางด้านการเมือง และก็
สงคราม
ทำให้ทางรัฐบาลสั่งยุติการสำรวจบริเวณเทือกเขา Ararat และก็อนุญาตเฉพาะทีมสำรวจบางทีที่รัฐบาลเห็นว่าไว้ใจได้ เข้าไปด้อมๆมองๆได้ แต่ก็ต้องอยู่ในสายตาของทางทหารตลอดเวลา

     ในปี 1984 Ron Wyatt ได้ชักชวน Jim Irwin และเพื่อนร่วมทีมอีกหายคน กลับไปยังไซต์ขุดค้นทางโบราณคดี ซึ่งเคยเลิกราการขุดไปเมื่อปี 1959 ที่ผ่านมา การขุดค้นและสำรวจในครั้งนั้น มีการประกาศผลออกมาอย่างเป็นทางการเมื่อปี 1960 หรือหนึ่งปีถัดมาว่า พบเรื่องราวคืบหน้า เกี่ยวกับสิ่งที่เชื่อว่าเป็นเรืออาร์คของโนอาห์ ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล Wyatt ใช้เวลาหลายครั้งในการเทียวสำรวจไซต์ขุดเจาะดังกล่าว และได้พบหลักฐานบางชิ้นที่น่าสนใจคือ แผ่นหินขนาดใหญ่ที่มีรูและรอยตัดถึง 11 ชิ้น แต่ละชิ้นหนักตั้งแต่ 4-10 ตัน หินเหล่านี้ทำหน้าที่ผูกติดเป็นสมอเรือ เพื่อยึดเรืออาร์ค (ขอเรียกแบบนี้ไปก่อนนะครับ) เอาไว้ โดยอาศัยเชือกและรูหรือรอยตัดดังกล่าว ก็มีไว้เพื่อให้เชือกลอดผ่านนั่นเอง หินเหล่านั้นอยู่ห่างจากบริเวณลำเรือราวๆ 10 ไมล์ ในตอนที่ค้นพบนั้น Wyatt เชื่อว่า โนอาห์คงเป็นคนตัดมันออกเมื่อเขาค้นพบว่า เข้าใกล้จะมองเห็นแผ่นดินที่ไม่ได้ถูกน้ำท่วมแล้ว

     David Fasold หนึ่งในนักสำรวจที่ไปกับ Wyatt ได้อาศัยวิทยาการสมัยใหม่สำรวจเรืออาร์คอย่างยากลำบาก ด้วยเหตุที่เกือบทั้งหมดของมันจมไปกับน้ำแข็งแล้ว สิ่งที่ทำได้ จึงมีเพียงแต่ใช้เรดาร์มาสำรวจ และเก็บเอาชิ้นส่วนเล็กๆน้อยๆ ที่พอจะพบได้ ส่งไปที่ห้อง Lab เพื่อทำการวิจัยเท่านั้นเอง สิ่งที่เรดาร์บอกพวกเขาก็คือ มีวัตถุขนาดใหญ่บางอย่าง ฝังตัวอยู่ในเทือกเขา Ararat เจ้าวัตถุที่ว่ามีปฏิกิริยาของโลหะ และมีโครงสร้างกลวงอยู่ภายใน ดูคล้ายกับว่า มันถูกเจาะให้มีลักษณะคล้ายห้องยังไงยังงั้นล่ะครับ แต่ปัญหาสำคัญมันอยู่ที่สิ่งที่เป็นผลการสำรวจจากห้อง Lab ต่างหาก ชิ้นส่วนของสิ่งที่เชื่อว่าเป็นลำเรือนั้น ดูเหมือนไม้ที่กลายเป็นหินก็จริง แต่ว่ามันขาดสิ่งที่ไม้ทั่วไปตามธรรม
ชาติมี นั่นคือ
วงแหวนการเจริญเติบโตนั่นเอง เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่งงเต็ก เพราะในไบเบิ้ลระบุว่า ลำเรือทำมาจากไม้ Gopher แต่เจ้าเรืออาร์คลำนี้ ดูยังไงก็ไม่ได้ทำจากไม้เลย-
ครับ แต่ก็อีกนั่นแหละ ไบเบิ้ลถูกเล่าขานกันมานานปากต่อปาก บางทีการแปลจากต้นฉบับก็ต้องมีผิดเพี้ยนบ้าง บางที ไม้ Gopher ที่เอามาใช้สร้างเรือ อาจมาจากข้อมูลที่บัน -ทึกผิดๆต่อกันมาก็ได้
มันอาจจะทำจากหินหรือวัสดุคล้ายโลหะอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้

     David Fasold ให้ข้อสังเกตุว่า เรืออาร์คลำดังกล่าว ไม่น่าจะใช่เรืออาร์คดังที่คิดกันไว้เสียแล้ว เพราะทั้งวัสดุที่ใช้สร้าง รวมไปถึงลักษณะของลำเรือ มันผิดไปจากแบบของเรือในยุคก่อนเมโสโปเตเมีย เอามากๆครับ ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันก็น่าจะมีเศษเสี้ยวอะไรที่เชื่อมเข้ากับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์บ้าง แต่ว่านี่ไม่เลย โดยเขานั้นก็ได้
วิเคราะห์ชิ้นส่วนบางชิ้น ที่เชื่อกันว่าเป็นชิ้นส่วนจากลำเรือ และก็พบว่ามันมีส่วนผสมของโลหะอยู่ ภายใต้ความร่วมมือของผู้เชี่ยวชาญอย่าง
Gene Collins แห่ง the De- partment of Geological Sciences ผลจากการเทสต์ถึง 2 ครั้งพบว่า มันเป็นวัสดุที่เกิดจากธรรมชาติโดยแท้ ส่วนเจ้าสมอเรือที่ค้นพบนั้นเล่าครับ มันก็ไม่ได้เป็นอะไรเลยนอกจาก หินธรรมดาที่เกิดขึ้นภายในพื้นที่แถบนั้น เป็นผลงานของธรรมชาติอีกตามเคยครับ ไม่ใช่สมอเรือที่เชื่อกันว่า โนอาห์นำมาจากดินแดนเมโสโปเตเมีย อันเป็นที่ๆเขาหนีน้ำท่วมมาแต่อย่างใด

     ผลสรุปที่ออกมาคือ เจ้าสิ่งที่ทีมสำรวจค้นพบในตอนหลังนั้น เป็นสิ่งที่เกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติครับ สภาพภูมิอากาศ การกัดกร่อน และความเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา ทำให้หินปนโลหะแท่มหึมา กลายมาเป็นลำเรือขึ้นมาลำหนึ่ง มหัศจรรย์นะครับธรรมชาติเนี่ย แม้ว่า Wyatt จะได้นำแผ่นจารึกโบราณ ซึ่งค้นพบบริเวณที่เชื่อว่าลำเรือฝังตัวอยู่ มาแสดงต่อสาธารณชน นักโบราณคดีก็ยังคงสรุปออกมาว่า มันเป็นแผ่นจารึกของนักท่องเที่ยวโบราณ ที่ทิ้งเอาไว้ในบริเวณที่พวกเขา ขึ้นไปสำรวจสิ่งที่พวกเขาเชื่อกันว่า เป็นเรืออาร์คอันศักดิ์สิทธิ์เสียมากกว่า


ภาพถ่ายที่เคยถ่ายได้เมื่อปี 1949 ที่แสดงให้เห็น 'สิ่งผิดปกติ' บางอย่างบนเทือกเขา Ararat ก่อนที่มันจะถูกฝังไปด้วยพายุหิมะที่พัดอยู่ตลอดปี

     ท้ายที่สุด ก็ไม่มีใครให้คำตอบได้ว่า เรืออาร์คของโนอาห์ อยู่บริเวณใดกันแน่ จนกว่าสักวันที่ใครสักคนค้นพบเรือความยาว 450 ฟุต บนยอดเขา Ararat หรือ พบเรือที่จมอยู่ใต้ทะเลดำ หรือ ที่ใดที่หนึ่งซึ่งนักล่าสมบัติกำลังค้นหาเรือาร์คของโนอาห์นั่นแหละครับ เรื่องทุกอย่างจึงจะยุติลง

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

ติชม


ต้องการให้คะแนนบทความนี้่ ?

สร้างโดย :


hat

สถานะ : ผู้ใช้ทั่วไป
คอมพิวเตอร์ธุรกิจ