5 วิธี ล้างพิษเสริมสุขภาพ

ล้างพิษ คืออะไร ? ดีอย่างไร? ในยุคที่รอบๆ ตัวเรากลายเป็นสังคมของความเร่งด่วน เวลากินก็ต้องเป็นอาหารจานด่วน แถมยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกเต็มไปหมด คนเราจึงเคลื่อนไหวน้อยลงทุกที ควันเสียจากรถยนต์ ความเครียดจากการทำงาน ทำให้วิถีชีวิตของเราเต็มไปด้วยพิษค่ะ ภายนอกก็มีมลพิษ ภายในร่างกายก็มีคอเลสเตอรอล น้ำตาลในเลือด สารพิษที่เกิดจากการบูดเน่าของไขมันและโปรตีนที่อยู่ในลำไส้ของคนเรา ฟังแล้วสยองไหมคะคุณๆ ในยุคที่รอบๆ ตัวเรากลายเป็นสังคมของความเร่งด่วน เวลากินก็ต้องเป็นอาหารจานด่วน แถมยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกเต็มไปDetox for my Health สุขภาพหมด คนเราจึงเคลื่อนไหวน้อยลงทุกที ควันเสียจากรถยนต์ ความเครียดจากการทำงาน ทำให้วิถีชีวิตของเราเต็มไปด้วยพิษค่ะ ภายนอกก็มีมลพิษ ภายในร่างกายก็มีคอเลสเตอรอล น้ำตาลในเลือด สารพิษที่เกิดจากการบูดเน่าของไขมันและโปรตีนที่อยู่ในลำไส้ของคนเรา ฟังแล้วสยองไหมคะคุณๆ
กระบวนการล้างพิษ จึงเกิดขึ้นมาเพื่อล้างพิษในร่างกายของคนเราค่ะ โดยอยู่ภายใต้ความเชื่อว่า การมีสุขภาพดีที่จำเป็นต้องบำรุงรักษาทั้งร่างกายและจิตใจเราจึงควรล้างพิษผ่านวิธีทั้ง 5 ได้แก่ กินเพื่อล้างพิษ อดเพื่อล้างพิษ ฝึกลมปราณเพื่อล้างพิษ ฝึกสมาธิเพื่อล้างพิษทางจิตใจ และสวนลำไส้เพื่อล้างพิษ เพื่อให้กระบวนการฟื้นฟูสุขภาพเป็นไปอย่างครบถ้วนค่ะ

 

อด...ล้างพิษ
มีคำกล่าวว่า 'คนกินมากก็ป่วยมาก' ทำให้ Audrey ย้อนคิดว่า คนเราป่วยเพราะกินมีเพิ่มขึ้นจริงๆ ค่ะ การล้างพิษวิธีที่สองจึงชักชวนให้หันมาอดล้างพิษกันดูบ้าง ซึ่งทางการแพทย์ระบุว่า มนุษย์เราสะสมพลังงานในรูปไขมันและพลังงานไว้เพียงพอต่อการอดอาหารประมาณ 1-2 วัน ได้โดยไม่เจ็บป่วยเชียวนะ
ข้อดีของการอด คือลดการทำงานของอวัยวะภายใน เช่น กระเพาะก็ไม่ต้องย่อยอาหาร ลำไส้ก็ไม่ต้องดูดซึม อวัยวะภายในอื่นๆ ก็จะทำงานน้อยลง ซึ่งหากคนเราใช้งานกระเพาะหรืออวัยวะภายในส่วนใดส่วนหนึ่งมากเกินไป ร่างกายก็จะสร้างสารพิษที่เรียกว่ามะเร็งนั่นเองค่ะ สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มอดอาหาร สามารถเริ่มต้นด้วยการกินผลไม้ หรือน้ำผลไม้ตลอดทั้งวันก่อนก็ได้ แต่ก่อนการอด ควรจะให้แพทย์ตรวจร่างกายก่อน และในวันที่อดอาหารก็ไม่ควรทำงานหนักด้วยค่ะ


กิน...ล้างพิษ
คุณแม่สามารถหลีกเลี่ยงอาหารมีพิษได้ง่ายๆ โดยงดเว้นอาหารหมักดอง อาหารขัดขาวหรือฟอกสี รวมไปถึงอาหารสำเร็จรูป แล้วเลือกกินผักสด เลือกแบบไม่มีสารปนเปื้อนหรือล้างเอายาฆ่าแมลงออกให้หมดยิ่งประเสริฐ กินข้าวกล้อง ข้าวมันปูแทนข้าวขาว น้ำตาลทรายแดงแทนน้ำตาลขัดขาว ที่สำคัญกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยที่ไม่เลือกกินเนื้อสัตว์ แป้ง น้ำตาล มากจนเกินไป
แต่สำหรับคุณแม่ที่มีเวลาน้อย ไม่สามารถเลือกกินอาหารได้ครบ 5 หมู่ หรือวิตามินที่จำเป็น มีทางเลือกง่ายๆ คือปั่นน้ำผัก น้ำผลไม้ดื่มเป็นประจำ ก็ช่วยล้างพิษได้ค่ะ


ฝึกสมาธิ... ล้างพิษในใจ
คนที่ฝึกสมาธิได้ระดับหนึ่งร่างกายจะหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินหรือสารแห่งความสุขออกมาค่ะ และเมื่อร่างกายสงบ เกิดสมาธิ หัวใจจะเต้นช้าลง ลมหายใจที่เคยสั้นเพราะเครียดก็จะยาวขึ้น เมื่อควบคุมลมหายใจได้ทำให้ปอดขยาย ร่างกายก็สามารถปรับออกซิเจนได้มากขึ้น เกิดกระบวนการเผาผลาญไขมัน ลดการอักเสบในระบบภูมิคุ้มกัน ร่างกายจะสร้างเม็ดเลือดขาวที่เป็นภูมิคุ้มกันของร่างกายได้มากขึ้น แถมทำให้คลื่นสมองเป็นระเบียบ ช่วยให้มีความจำดีขึ้น ข้อดีมีมากมายจน Audrey จาระไนไม่หมดของอย่างนี้ไม่เชื่อต้องพิสูจน์ด้วยตนเองนะคะ


สวนลำไส้...ล้างพิษ
ฟังชื่อแล้วอย่างเพิ่งเสียวลำไส้กันไปนะคะ การสวนล้างลำไส้เกิดขึ้นเพราะพฤติกรรมการกินอาหารของคนปัจจุบัน อาทิ การกินอาหารขัดสี หรือมีกากใยน้อย ส่งผลให้ลำไส้ทำงานไม่ดีเพิ่มสารพิษให้ร่างกาย และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของอาการเจ็บป่วย


ปัจจุบัน วิธีการทำความสะอาดลำไส้ มี 3 วิธี

1. การสวนลำไส้ใหญ่ระดับบน เน้นการสวนด้วยน้ำอุ่น คือการใช้น้ำอุ่น 5 แกลลอน ทำความสะอาดตลอดทั้งลำไส้ เพื่อล้างอุจจาระที่ตกค้าง เมือกที่เป็นอาหารบูดเน่าเกาะอยู่ตามผนังลำไส้
วิธีทำ : เครื่องสวนลำไส้ใหญ่มีชื่อว่า colontheraphy ที่ปัจจุบันมีบริการตามโรงพยาบาลหลายแห่ง ใช้เวลาทำประมาณ 30-40 นาที ควรทำประมาณปีละ 4-5 ครั้ง
ค่าใช้จ่าย : ครั้งละ 1,000-3,000 บาท ขึ้นอยู่กับสถานที่ให้บริการแต่ละแห่ง


2. การสวนล้างลำไส้ใหญ่ระดับกลางด้วยกาแฟ การสวนกาแฟทำได้ง่ายและสามารถทำเองที่บ้านได้ ประโยชน์คือ ชำระอุจจาระที่ตกค้างในลำไส้ ที่สำคัญคือ ฤทธิ์กาแฟจะซึมเข้าทางผนังลำไส้ เส้นเลือดและตับ ซึ่งช่วยให้ตับซึ่งทำหน้าที่กรองของเสียให้ร่างกาย สะอาด และกลับมาทำงานได้ดีขึ้น
วิธีทำ : เตรียมอุปกรณ์ได้แก่ หม้อ หรือถุงสำหรับทำ DETOX สายยาง กาแฟคั่วบดทั่วไป 1 ช้อนโต๊ะ น้ำอุ่นประมาณ 1,000-1,500 มิลลิลิตร เมื่อเตรียมน้ำกาแฟเสร็จแล้ว วางหม้อไว้สูงกว่าร่างกายประมาณ 3 ฟุต นอนลง (ตะแคงขวา ดึงขาซ้ายชิดขึ้นไปทางหน้าอกเล็กน้อย เพื่อให้สามารถสอดท่อได้ง่าย) ทาวาสลินที่ปลายท่อส่วนที่จะสอดเข้าไป ในทวารหนักแล้วจึงค่อยๆ สอดท่อไปที่ทวารหนักลึกประมาณ 2 นิ้ว ปล่อยกาแฟในหม้อจนหมด ขมิบก้นให้กาแฟ ค้างในลำไส้ประมาณ 5-10 นาที จากนั้นปล่อยกาแฟให้ไหลออกมา จะสังเกตได้ว่ามีเศษอาหารออกมาด้วย
ความเชื่อของคนส่วนใหญ่มักคิดว่า การสวนกาแฟจะช่วยให้หายท้องผูกได้ ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้นค่ะ ค่าใช้จ่าย : (กรณีไม่ได้ทำเอง) ครั้งละ 500-1,000 บาท ขึ้นอยู่กับสถานที่ให้บริการแต่ละแห่ง
สวนกาแฟด้วยตนเอง

ดังนั้นการทำดีท็อกซ์จึงควรทำตอนเย็นก่อนนอนเพราะตื่นเช้าจะถ่ายตามปกติได้ค่ะ และควรทำเดือนละ 1-2 ครั้ง จะได้ไม่เสียสุขนิสัยในการขับถ่ายนะคะ 

3. การล้างสำไส้ด้วยการชงดื่ม ง่าย และปลอดภัย
ไฟโต ไฟเบอร์ ผลิตภัณฑ์ ดีท๊อกซ์ (ล้างลำไส้) ด้วยไยอาหาร ไม่ต้องสวนทวาร ผลิตจากธรรมชาติ 100% มีคุณสมบัติช่วยให้ ผนังลำไส้ขับเมือกไขมัน และ สารพิษที่เกาะติด บน ผนังลำไส้ การทำดีท็อกซ์ มีจุดประสงค์สำคัญเพื่อกำจัดพิษ (ท็อกซิน) ออกจากร่างกาย โดยการล้างสารพิษ ใน ลำไส้ และช่วยลดอาการท้องผูก และ การช่วยให้การเคลื่อนตัวของตะกรันอุจจาระ ที่ตกค้าง เคลื่อนตัวออกมาเร็วขึ้น ปรับสมดุลให้ระบบ การทำงานของร่างกาย ลดความเสี่ยง จากการ เกิด 'มะเร็งลำไส้'

 ไฟโตไฟเบอร์ (Phyto Fiber) ดีท็อกซ์ ล้างลำไส้ ล้างสารพิษ

'แบบชงดื่ม' ไม่ต้องสวนทวาร

Phyto Fiber Detox

มะเร็งลำไส้ มะเร็งลำดับต้นๆ ของคนวันนี้ มะเร็งเป็นโรคร้ายแรงที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต มะเร็งลำไส้ใหญ่ก็เช่นกัน โดยมะเร็งชนิดนี้เป็นโรคมะเร็ง ที่พบบ่อยเป็นลำดับต้นๆ ก่อนอื่นคงต้องทำความรู้จักกับลำไส้ใหญ่กันก่อน ว่าลำไส้ใหญ่นั้นเป็นส่วนปลายๆ ของระบบทางเดินอาหาร โดยต่อมาจากลำไส้เล็ก แล้วไปต่อกับ ส่วนไส้ตรง (Rectum) ซึ่งจะไปสิ้นสุดที่ทวารหนัก มะเร็งของลำไส้ใหญ่เกือบทั้งหมดจะเริ่มจากการเป็นติ่งเนื้อ (polyps) ขึ้นมาก่อน มะเร็งลำไส้ มะเร็งลำดับต้นๆ ของคนวันนี้ มะเร็งเป็นโรคร้ายแรงที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต มะเร็งลำไส้ใหญ่ก็เช่นกัน โดยมะเร็งชนิดนี้เป็นโรคมะเร็ง ที่พบบ่อยเป็นลำดับต้นๆ ก่อนอื่นคงต้องทำความรู้จักกับลำไส้ใหญ่กันก่อน ว่าลำไส้ใหญ่นั้นเป็นส่วนปลายๆ ของระบบทางเดินอาหาร โดยต่อมาจากลำไส้เล็ก แล้วไปต่อกับ ส่วนไส้ตรง (Rectum) ซึ่งจะไปสิ้นสุดที่ทวารหนัก มะเร็งของลำไส้ใหญ่เกือบทั้งหมดจะเริ่มจากการเป็นติ่งเนื้อ (polyps) ขึ้นมาก่อน แล้วค่อยกลายเป็นเนื้อร้าย วิธีที่จะรู้ได้ว่ามีติ่งเนื้อร้ายอยู่ในลำไส้ใหญ่หรือไม่ ก็ต้องตรวจด้วยวิธีการต่างๆ ที่จะกล่าวต่อไป

ใครบ้างที่มีความเสี่ยงต่อโรคนี้ อาการท้องผูกไม่น่าจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่ผู้ที่ท้องผูกเป็นประจำ มักจะชอบกินอาหารเนื้อสัตว์มากๆ ไม่ค่อยออกกำลังกาย ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงกว่าจึงอาจมีโอกาสเป็นมะเร็ง ลำไส้ใหญ่มากกว่าคนทั่วไป

ทำอย่างไรจึงไม่เป็นโรคนี้ ก็ต้องกำจัดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ ซึ่งได้แก่ เปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหาร โดย ควบคุมอาหารการกินให้เน้นอาหารประเภทผัก ผลไม้ และกากใยอาหารให้มากๆ จะย่อยง่ายกว่าเนื้อสัตว์ และช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น โดยเฉพาะในคนที่มักจะท้องอืด อาหารไม่ย่อย หรือท้องผูกบ่อยๆ แต่ถ้าลองเน้นผักสด ผลไม้ กากใยมากขึ้นกว่าเดิมแล้วยังไม่ดีขึ้น คุณก็ควรพบแพทย์วินิจฉัยว่าควรใช้ยา ช่วยในระบบย่อยหรือไม่ นอกจากนี้แล้วยังควรเสริมด้วยโฟลิก แอซิด วิตามินซี แคลเซียม วิตามินอี และเซเลเนียม ลดอาหารประเภท เนื้อ ไขมันสัตว์ นอกจากเรื่องอาหารแล้วก็ควรงดบริโภคสิ่งที่เป็นมลพิษต่อสุขภาพ ได้แก่ แอลกอฮอล์ และบุหรี่ การออกกำลังกายก็มีความสำคัญมากเช่นกัน โดยที่ทางสมาคมโรคมะเร็งของสหรัฐอเมริกา ได้แนะนำให้ ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 30 นาที ซึ่งจะช่วยทำให้ไม่อ้วน มีสุขภาพทั่วไปที่แข็งแรง และลด ความเสี่ยงต่อมะเร็งลงได้

จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคนี้หรือเปล่า?
เนื่องจากเป็นโรคที่ไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่ถ้าตรวจพบว่าเป็นและได้รับการรักษาแต่เนิ่นๆ จะได้ผลดีมาก โดยถ้าได้รับการรักษาก่อนที่มะเร็งจะกระจายออกไป จะมีอัตราการหายประมาณ 90 % แต่ถ้าเริ่มรักษาตอนที่ มะเร็งได้ลุกลามไปยังอวัยวะหรือต่อมน้ำเหลืองข้างเคียงแล้ว จะมีอัตราการหายลดลงเหลือ 65 % แต่ถ้ามะเร็งได้ กระจายไปยังตับหรือปอดแล้ว อัตราการหายจะลดลงเหลือเพียง 8 % เท่านั้น คุณคงเห็นแล้วว่า ยิ่งตรวจพบมะเร็งได้เร็วและได้รับการรักษาเร็วเท่าไร โอกาสหายยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้น คุณที่มีปัจจัยเสี่ยงตามที่กล่าวมาข้างต้น ควรรีบไปตรวจดูว่าเป็นโรคนี้หรือเปล่า

อาการของโรคนี้มีอะไรบ้าง?
อาการที่พบได้ก็มีดังนี้ ? แรกๆจะไม่มีอาการอะไรเลย อาจมีเพียงอืดแน่นท้องบ้างเป็นครั้งคราว ? มีการเปลี่ยนแปลงของการถ่ายอุจจาระ เช่น จากที่เคยถ่ายแข็ง กลายเป็นถ่ายเหลว หรือกลับกัน หรืออุจจาระมีลักษณะลีบเล็ก ต่อเนื่องกันเกินกว่าสองสามวัน ? รู้สึกอยากจะถ่ายอุจจาระอยู่ตลอด ทั้งๆ ที่ถ่ายเสร็จแล้ว ? ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ? ปวดเกร็งในท้องต่อเนื่องยาวนาน อาการเหล่านี้ไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าผู้ที่มีอาการต้องป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ เพราะยังมีอีกหลายโรคที่ทำให้เกิดอาการ เช่นนี้ได้ ดังนั้นถ้าหากคุณมีอาการเหล่านี้ หรือมีปัจจัยเสี่ยงดังที่กล่าวมาข้างต้น การไปให้หมอตรวจย่อมเป็นวิธีที่ดีที่สุดครับ รักษาอย่างไร?

การรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่มีวิธีหลักอยู่ 3 วิธี ได้แก่
การผ่าตัดเอาเนื้อร้ายออก
การใช้ยาไปทำลายเซลล์มะเร็ง
การทำลายเซลล์มะเร็งในตำแหน่งต่างๆ ด้วยการฉายรังสี
การเลือกวิธีในการรักษานั้นขึ้นอยู่กับว่าเป็นมะเร็งมากน้อยเพียงใด มีการลุกลาม หรือแพร่กระจายหรือไม่ และสภาพ ร่างกายของผู้ป่วยขณะนั้นเหมาะสมกับวิธีใดมากที่สุด ทั้งนี้จะขึ้นกับการตัดสินใจของหมอที่รักษา

กันไว้ย่อมดีกว่าแก้นะคะ วิธีที่ดีที่สุดที่ขอแนะนำคือ ป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ไว้ก่อนด้วยการลดปัจจัยเสี่ยงให้เหลือ น้อยที่สุด และไปให้หมอตรวจตามแนวทางที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น อย่าคิดว่าไม่จำเป็นเพราะคุณไม่ได้มีอาการอะไรเลย เพราะถ้ามัวแต่รอจนมีอาการแล้วค่อยไปตรวจ มันก็อาจสายไปแล้วครับ
ต่อให้มีเงินมากแค่ไหน ก็ไม่อาจจะยื้อชีวิตคุณ หรือคนที่คุณรักได้เลย

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

ติชม


ต้องการให้คะแนนบทความนี้่ ?

สร้างโดย :


Rossukon

สถานะ : ผู้ใช้ทั่วไป
คอมพิวเตอร์ธุรกิจ